วันนี้จะพาทำขนมที่ขึ้นชื่อว่าทำไม่ยากแต่ทำให้อร่อยหน่ะยาก เป็นขนมประจำเมืองฟลอเรนซ์เลยก็กว่าได้ จะมีเฉพาะที่เมืองนี้เท่านั้นไปหาทานที่อื่นไม่ได้นะ และจะมีขายก็เฉพาะช่วงเทศกาล Carnival หมายความว่าในปีนึงจะมีให้ทานได้แค่ไม่กี่วัน ในเมืองฟลอเรนซ์รู้สึกว่าจะมี 3-4 ร้านเบเกอร์รี่ที่ทำอร่อยมากๆ ขายดีมากเค้าจะขายกันเป็นน้ำหนัก ถ้าจำไม่ผิดน่าจะ 12-16 ยูโร ต่อกิโลกรัม ราคาแล้วแต่ทางร้านจะกำหนดจ้า แต่วันนี้เราจะพาทำไม่ต้องไปซื้อแพงๆ ทาน แต่จะอร่อยเหมือนเค้ารึป่าวอีกเรื่องนึงนะ ฮะฮะฮะ เอาหละ เราไปดูกันว่าจะต้องเตรียมอะไรกันบ้าง
ส่วนผสมสำหรับ ถาดขนาด 12 x 16นิ้ว
- แป้งสาลี (farina 00) 300 กรัม
- แป้ง Manitoba 200 กรัม
- น้ำตาลทราย (Zucchero) 200 กรัม (เราใช้แค่ 120 กรัม เพราะไม่ชอบหวานมาก)
- ไขมันหมู (Strutto) 200 กรัม (ใช้เนยหรือน้ำมันพืชแทนได้)
- ไข่ไก่ 2 ฟอง
- ยีสต์ (Lievito di birra) 20 กรัม
- นมสด (Latte) 250 มิลลิลิตร
- ส้ม (Arancia) 1 ผล
- เกลือป่น (Sale) หยิบนึง
- ผงลูกจันทน์เทศ (Noce moscata) เล็กน้อย
- น้ำตาลไอซิ่ง (Zucchero velo) ตกแต่งด้านบน
- วิปปิ้งครีม (Panna) สำหรับทำไส้
ในภาพขาดแป้ง Manitoba กับลูกจันทน์เทศ
ขั้นตอนการทำ
- ร่อนแป้งสาลีกับแป้ง Manitoba รวมกัน แล้วแบ่งใส่อ่างผสมประมาณ 300-350 กรัม
- ทำเป็นบ่อตรงกลางแล้วบี้ยีสต์ลงไป แบ่งนมสดส่วนนึงไปอุ่นแล้วเติมลงไป จากนั้นผสมให้ทุกอย่างเป็นเนื้อเดียวกัน ใช้ผ้าหมาดๆ คลุมไว้ให้ยีสต์ทำงานประมาณ 1 ชั่วโมง แต่เนื่องจากที่อิตาลีอากาศเย็น ฉะนั้นเราจึงนำเข้าเตาอบแล้วเปิดไฟเอาไว้ให้อุ่นสักหน่อย เพื่อช่วยให้แป้งขึ้นฟูเร็วขึ้น
- ระหว่างที่รอให้แป้งขึ้นฟู เราก็หันมาขูดผิวส้มและคั้นน้ำส้มเอาไว้ 1 ผล
- อ่างผสมอีกชามตอกไข่ไก่ น้ำส้ม และน้ำตาล ผสมให้เข้ากัน น้ำตาลละลายดี
- ใส่แป้งส่วนที่เหลือจากตอนแรก ผสมโดยใช้ตะกร้อไฟฟ้า ดีด้วยความเร็วต่ำพอเข้ากัน
- ค่อยๆ แบ่งใส่ ไขมันหมู (Strutto) ทีละน้อย แล้วดีด้วยตะกร้อให้เข้ากัน แบ่งใส่ประมาณ 3 ครั้ง
- จากนั้นเติมผิวส้มขูด และนมสดส่วนที่เหลือ เรียกได้ว่าหากมีอะไรเหลือก็ใส่ลงไปให้หมดตอนนี้ ฮะฮะ
- พอครบหนึ่งชั่วโมงแป้งจะขึ้นฟูประมาณ 2 เท่า นำมาผสมลงไปแล้วใช้พายคนให้เข้ากัน จริงๆ เราใช้มือผสมเลย ใช้พายมันผสมเข้ากันยาก และใช้เวลานานกว่า ใช้มือแหล่ะดีที่สุด
- ทาเนยที่ถายแล้วปูด้วยกระดาษไข นำส่วนผสมที่ได้เทลงไป เกลี่ยให้มีความหนาเท่าๆ กัน จากนั้นคลุมด้วยผ้าหมาดๆ ทิ้งไว้ให้แป้งขึ้นฟูอีกครั้ง ครั้งนี้บอกเวลาแน่นอนไม่ได้ เราใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงแป้งถึงจะขึ้นฟูเป็น 2 เท่า ให้สังเกตเอานะคะ ว่าเมื่อไหร่ที่แป้งขึ้นฟูเป็น 2 เท่าก็พอแล้ว
- พอแป้งขึ้นฟูได้ที่ ก็ให้เปิดเตาอบไว้ที่ 200 c° เมื่อนำเข้าอบให้ลดไฟลง 190 c° อบไป 30 นาที ให้ลดไฟลง 180 c° อบไปจนสุก ให้ทดสอบโดยใช้ไม่จิ้มดูหากไม้แห้งดีไม่อะไรติดมาด้วยก็แสดงว่าเค้กสุกแล้ว ในระหว่างอบหากเห็นว่าด้านหน้าเค้กเหลืองเกินไปกลัวจะไหม้ก่อนสุก ก็ให้เอาถาดอีกใบปิดด้านบนไว้ หรือปิดด้วยอลูมิเนียมฟอยล์
- พอเค้กสุกก็เอาออกจากถาด พักให้เย็นบนตะแกรง
- สำหรับใครที่จะทานเลยไม่ใส่ไส้ก็ให้โรยด้วยน้ำตาลไอซิ่งแล้วตัดเสิร์ฟได้เลยค่ะ แต่ถ้าใครชอบแบบมีไส้ ก็ให้นำเค้กมาผ่าครึ่งปาดด้วยวิปปิ้งครีม หรือไส้ครีมที่ชอบลงไปปิดด้วยเค้กอีกแผ่นแล้วโรยไอซิ่งเป็นอันเสร็จ
ที่เห็นในภาพเป็นเพียงครึ่งเดียวของขนมที่ได้นะคะ
หน้าตาอาจจะคล้ายๆ กับ สปันจ์เค้ก (Sponge cake)
แต่รับรองว่ารสชาติไม่ใช่เลย
อีกภาพให้ดูกันชัดๆ จะเห็นว่าเนื้อเค้กจะไม่ได้เนียนแน่
จะออกไปทางกึ่งๆ ขนมปังกึ่งเค้ก
เนื้อเค้กจะไม่แห้งแข็ง ทานกับกาแฟ หรือชาจะเหมาะมากๆ
คราวหน้าจะทิ้งไว้ให้แป้งขึ้นฟูนานกว่านี้ เพราะอบเสร็จยังได้กลิ่นยีสต์หน่อยๆ
แสดงว่ายีสต์ยังทำงานได้อีก หรือไม่ก็อบให้นานกว่านี้
สูตรมีมากมายเยอะแยะ ใครๆ ก็ว่าสูตรตัวเองอร่อย
หน้าตาก็แตกต่างกันไปเล็กน้อย
บางคนก็ทานคู่กันกับแยมผลไม้ต่างๆ เป็นอาหารเช้าหรือของว่างก็ได้
เนื่องจากใช้เวลาในการทำนานมาก และทำออกมาแล้วอร่อยยากด้วย
ฉะนั้นใครๆ ก็เลยไปซื้อทานเลยดีกว่า จะได้แน่ใจว่าอร่อยแน่ๆ ฮะฮะฮะ
ที่เห็นในภาพน่าจะเป็นไส้ครีมกับช็อคโกแลต
ขั้นตอนเยอะรอนาน หากใครจะลองเอาไปทำดูก็ไม่ว่ากันนะคะ